สวมรองเท้าเดินป่าของคุณแล้วออกสำรวจเส้นทางต่าง ๆ เหล่านี้ที่ให้ประสบการณ์ที่ปลอดภัยพร้อมกับความสวยงามท่ามกลางสายฝนตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ ธรรมชาติยังงดงามตระการตาที่สุดเมื่อฝนฤดูหนาวช่วยบำรุงดิน โดยเส้นทางเดินป่าในฤดูหนาวที่เราเลือกมานั้นรับประกันว่านักเดินป่าจะสนุกสนานและปลอดภัย
6 เส้นทางเดินป่าในฤดูหนาวที่ดีที่สุดสำหรับอิสราเอล
1. อุทยานแห่งชาติเขาทาบอร์
เส้นทางเดินวนรอบระยะทาง 2 กิโลเมตร (1.2 ไมล์) บนภูเขาทาบอร์มีทัศนียภาพอันสวยงามของกาลิลีตอนล่างและหุบเขาโดยรอบ เส้นทางนี้ผ่านป่าสนธรรมชาติและเดินได้ค่อนข้างง่าย ฝนในฤดูหนาวช่วยเสริมให้ทัศนียภาพสีเขียวชอุ่มสวยงามยิ่งขึ้น ขณะที่พื้นหินช่วยให้เกาะถนนได้ดี ลดความเสี่ยงในการลื่นไถล
2. ป่าโฮราชิม
เส้นทางเดินป่าเป็นเส้นทางที่เหมาะแก่การหลีกหนีจากชีวิตในเมืองแม้ว่าจะตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีประชากรหนาแน่นในใจกลางอิสราเอลก็ตาม เส้นทางที่เหมาะสำหรับครอบครัวและเดินง่ายนี้ยังมีทัศนียภาพอันน่าทึ่งของที่ราบชารอน ในช่วงปลายฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิ ป่าจะบานสะพรั่งด้วยดอกไม้ตามฤดูกาล ในขณะที่เส้นทางยังคงสภาพเดิมแม้หลังฝนตก
3. อุทยานแห่งชาติเทลเมกิดโด
เส้นทางเดินป่าเมกิดโดในภาคเหนือของอิสราเอลพาผู้เดินป่าย้อนเวลาผ่านยุคพระคัมภีร์ โดยผสมผสานประวัติศาสตร์เข้ากับทัศนียภาพอันงดงาม เส้นทางเดินวงกลมยาว 7 กิโลเมตร (4.3 ไมล์) ผสมผสานธรรมชาติ โบราณคดี และทัศนียภาพอันงดงามของหุบเขายิซรีล ความยากของการเดินป่าถือว่าปานกลาง แต่เส้นทางยังคงปลอดภัยสำหรับการเดินแม้หลังฝนตก
4. อายาลอน-แคนาดา พาร์ค
เส้นทาง Aqueducts Trail ยาว 2 กิโลเมตร (1.2 ไมล์) ในอุทยาน Ayalon-Canada นั้นสามารถเดินถึงได้ง่ายและเหมาะสำหรับครอบครัว เส้นทางนี้มีทัศนียภาพอันสวยงามของเนินเขา Judean พื้นที่ราบลุ่ม และท่อส่งน้ำ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใช้ในการส่งน้ำผ่านแอ่งน้ำหรือหุบเขา สภาพอากาศที่สบายในฤดูหนาวทำให้เดินบนเส้นทางได้อย่างปลอดภัยแม้หลังจากวันที่ฝนตก ซึ่งช่วยเสริมให้พืชพรรณเขียวชอุ่มและบรรยากาศทุ่งหญ้าดูสวยงาม
5. ป่าอมินาดัฟ
เส้นทาง Tzofa Hadassah ในเนินเขาเยรูซาเล็มมีทัศนียภาพอันกว้างไกลของเนินเขาและย่าน Ein Kerem อันเก่าแก่ของเยรูซาเล็ม เส้นทางเดินเที่ยวเดียวระยะทาง 3 กิโลเมตร (1.8 ไมล์) ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมงและเหมาะสำหรับครอบครัว เส้นทางเดินนี้ยังคงเดินง่ายแม้หลังฝนตก ในขณะที่ป่าไม้ดูเขียวชอุ่มกว่าช่วงอื่นของปีในฤดูหนาว
6. ป่าละหุบ
เส้นทาง Golden Trail ของป่าลาฮาฟในเนเกฟตอนเหนือจะนำคุณผ่านถ้ำที่อยู่อาศัยโบราณและโครงสร้างทางการเกษตรแบบไบแซนไทน์ เส้นทางยาว 1 กิโลเมตร (0.6 ไมล์) สามารถเดินถึงได้ง่ายหลังฝนตก แม้ว่าเส้นทางนี้จะเหมาะสำหรับการเดินป่าตลอดทั้งปี แต่ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน เส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยดอกโครคัสสีทองที่บานสะพรั่ง
เมืองท่าโบราณแห่งเมืองอากร์ (หรือที่คนในท้องถิ่นเรียกว่าอักโก) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตอนเหนือของอิสราเอล เหนือเมืองเทลอาวีฟขึ้นไปเล็กน้อย เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีป้อมปราการแข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน
เมืองอักโกกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในจุดพักรถทางประวัติศาสตร์มากมายริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีฟ้าใสของอิสราเอล และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เมืองที่มีอายุกว่า 4,500 ปีแห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวอันน่าทึ่ง และอาหารชั้นยอดและการต้อนรับที่อบอุ่น
เมืองเก่าอักโก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกเพื่อเป็นการยกย่องซากปรักหักพังของเมืองครูเสด ซากปรักหักพังเหล่านี้ทั้งอยู่เหนือและใต้ระดับถนน นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองออตโตมันเพียงไม่กี่เมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ เมืองนี้มีป้อมปราการ มัสยิด ข่าน และห้องอาบน้ำ ซึ่งล้วนได้รับการอนุรักษ์ไว้ ในอักโก สถานที่เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังของอาคารครูเสด
นอกจากนี้ ภายในเขตเมืองเก่ายังมีห้องอาบน้ำแบบตุรกี (Hammam Al-Basha) ซึ่งมีการแสดงแสงและเสียงที่บอกเล่าเรื่องราวของ “คนดูแลห้องอาบน้ำคนสุดท้าย” ในสมัยออตโตมัน ห้องอาบน้ำเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของคนรวยและมีอิทธิพล การแสดงแสงและเสียงอันโดดเด่นทำให้สถานที่แห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมา รวมที่เที่ยวต่างประเทศ
ฉายา “ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” (The Queen of the Adriatic) หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” (The City of Water) นั้นไม่ได้มาเล่นๆ สำหรับ เวนิส (Venice) แห่งนี้ ที่รายล้อมไปด้วยคูคลองถึง 150 สาย รวมถึงตึกอาคารสีสันสดใสตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าอย่างลงตัว นอกจาก เทศกาลเวนิสคาร์นิวัล (Venice Carnival) และการล่อง เรือกอนโดลา (Gondola) ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเวนิสแล้ว มหาวิหารซันมาร์โก (St. Mark’s Basilica) ยังถือเป็นไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ เนื่องจากเป็นมหาวิหารเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ที่เน้นลวดลายวิจิตรตระการตา ตั้งอยู่ตรงจัตุรัสกลางเมือง ใครที่มาถึงเวนิสแล้วไม่ได้มาเยือนมหาวิหารแห่งนี้ถือว่าน่าเสียดายมากๆ เลยทีเดียวค่ะ
เวนิส (Venice) หรือ เวเนเซีย (Venezia) เป็นเมืองหนึ่งในประเทศอิตาลี ทวีปยุโรป ที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ ในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียติกเข้าด้วยกัน ภายในเมืองจะใช้การเดินทางโดยเรือเป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้เลยว่าเมืองนี้มีคลองมากกว่าถนนเสียอีก ส่วนอาคารบ้านเรือนหรือที่เที่ยวสำคัญต่างๆ
ก็จะตั้งอยู่ลัดเลาะไปตามคลอง มีสะพานสวยๆ มากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้นี่แหละค่ะที่ทำให้เมืองเวนิสมีเสน่ห์ไม่เหมือนที่ไหน แถมบรรยากาศยังสวยงามโรแมนติกทั้งกลางวันและกลางคืน ควรค่าแก่การไป ทัวร์อิตาลี เที่ยวเวนิส เยือนเมืองแห่งสายน้ำให้ได้สักครั้ง หรือคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่กำลังหาทริปไปฮันนีมูนหวานๆ เมืองเวนิสแห่งนี้ก็นับเป็นอีกหนึ่งทริปที่เหมาะสมแบบสุดๆ ไปเลย คราวนี้เรามาดูกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองที่ไม่ควรพลาดกันบ้างค่ะ
ที่เที่ยวสวยออสเตรีย เสน่ห์ดินแดนแห่งเทือกเขาแอลป์ชมทะเลสาบสวยๆ พร้อมไฮไลท์ที่ห้ามพลาดไปถ่ายรูปคือ กลุ่มอาคารสีพาสเทลริม แม่น้ำอินน์ (River Inn) สีสันหวานแหวว เอกลักษณ์ของเมืองอินส์บรูคที่ใครๆ ก็ต่างขนาดนานนามให้เป็น “เมืองสีลูกวาด” แถมในตัวเมืองก็บรรยากาศดีสุดๆ เพียงแค่เดินช้อปปิ้ง เราก็ได้ชมทิวทัศน์ของเทือกเขาแอลป์เด่นมาแต่ไกลเลยค่ะ
Misurina เป็นทะเลสาบธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในแถบ Cadore บนความสูง 1,754 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทะเลสาบนี้มีความยาว 2.6 กิโลเมตร รอบทะเลสาบมีโรงแรมและที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว การเดินทางมาที่ทะเลสาบนี้สะดวกที่สุดคือทางรถยนต์ มีที่จอดรถอยู่ข้างทะเลสาบ ในฤดูหนาวน้ำในทะเลสาบจะเป็นน้ำแข็ง จุดเด่นของทะเลสาบมิซูริน่า คือ ฉากหลังของทะเลสาบที่เห็นยอดเขาโดโลไมต์ และคุณภาพของอากาศที่นี่ดีมากเหมาะสำหรับเป็นที่พักฟื้นสำหรับคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
Plansee เป็นทะเลสาบธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่อันดับสองในแคว้น Tirol ของประเทศออสเตรีย ตั้งอยู่ที่เมือง Reutte ซึ่งไม่ไกลจากชายแดนออสเตรีย-เยอรมนี ทะเลสาบมีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร รอบ ๆ บริเวณทะเลสาบเป็นสวรรค์สำหรับคนที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ชาวออสเตรียและประเทศเพื่อนบ้านนิยมมาพักผ่อนที่นี่ในวันหยุด ทั้งว่ายน้ำ อาบแดด เดินป่า แคมปิ้ง ดำน้ำ ล่องเรือใบ พายแคนู ขี่จักรยาน ตกปลา ซึ่งที่นี่มีปลาน้ำจืดหลายชนิ เราเจอทะเลสาบนี้โดยบังเอิญตอนที่ขับรถเที่ยวจากมิวนิค ไปอินซ์บรุกซ์ สีของน้ำในทะเลสาบที่นี่สวยมากจนเราต้องจอดรถลงไปถ่ายรูป
ทะเลสาบ Oeschinen อยู่ในเมือง Kandersteg ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อยู่ที่ความสูง 1,578 เหนือระดับน้ำทะเล มีพื้นที่ประมาณ 1.2 ตารางกิโลเมตร น้ำในทะเลสาบจะไหลลงมาจากหน้าผาหลาย ๆ จุด ในหน้าหนาวน้ำทะเลสาบจะเป็นน้ำแข็งประมาณ 5 เดือน ในหน้าร้อนเป็นที่สำหรับทำกิจกรรมเดินป่า เล่นน้ำ ตกปลา การเดินทางมาที่ทะเลสาบนี้ทำได้สองทางคือเดินขึ้นมาจากทางขึ้นด้านล่าง หรือขึ้นเคเบิลคาร์ แล้วเดินต่ออีกประมาณ 30 นาที จุดเด่นของทะเลสาบนี้คือ วิวรอบ ๆ ของทะเลสาบฉากหลังที่เป็นภูเขาสูง น้ำในทะเลสาบค่อนข้างเย็น
หอเอลิซาเบธ (Elizabeth Tower) หรือที่เรามักจะรู้จักกันจากชื่อระฆังของนาฬิกาที่หอแห่งนี้ว่า ‘บิ๊กเบน’ (Big Ben) หนึ่งในสัญลักษณ์แห่งมหานครลอนดอนที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก กลายเป็นหอนาฬิกาที่ถูกปรับปรุงขนานใหญ่ มีการปิดคลุมด้วยนั่งร้านในช่วงเวลาหนึ่ง และนี่ถือเป็นโครงการอนุรักษ์ที่ใหญ่ที่สุดและซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของหอนาฬิกาแห่งนี้
ข้อมูลจากเว็บไซต์รัฐสภาสหราชอาณาจักรระบุว่า หอนาฬิกาความสูง 96 เมตรแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้คนในยุควิกตอเรีย ด้วยมาตรฐานสูงสุดโดยใช้ช่างฝีมือที่ดีที่สุดและวัสดุที่ดีที่สุด แต่ก็เช่นเดียวกับอาคารอื่นๆ ที่มีอายุใกล้เคียงกัน หอแห่งนี้ประสบปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข เช่น หินที่แตกหัก เหล็กที่ขึ้นสนิม หลังคารั่ว หรือแม้กระทั่งตัวนาฬิกาที่มีอายุมาก
กระบวนการบูรณะที่เกิดขึ้นนั้นมีทั้งการซ่อมแซมและตกแต่งภายใน การปรับปรุงมาตรฐานด้านอนามัย ความปลอดภัย และระบบป้องกันอัคคีภัย การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการเข้าถึงการบำรุงรักษาและบริการฉุกเฉินที่ดียิ่งขึ้นโดยการติดตั้งลิฟต์ โดยยังคงอนุรักษ์องค์ประกอบสำคัญที่ออกแบบโดย ชาร์ลส์ แบร์รี และ ออกัสตัส เวลบี พูจิน ซึ่งรวมถึงงานแกะสลักหิน หน้าปัดนาฬิกา และยอดแหลมสีทอง โดยใช้เงินลงทุนกว่า 79.7 ล้านปอนด์
รัฐสภาสหราชอาณาจักรระบุว่า หอนาฬิกาบิ๊กเบนนั้นไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของสหราชอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยด้วย และนับจากครั้งแรกที่ระฆังของบิ๊กเบนลั่นออกมา ก็นับเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 160 ปีแล้ว แม้จะมีผลกระทบที่เกิดขึ้นบนตัวอาคารจากการระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับผลกระทบจากสภาพอากาศและมลภาวะก็ตาม
โครงการอนุรักษ์หอนาฬิกาแห่งนี้ใกล้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยเมื่อการบูรณะเสร็จสิ้นลงในฤดูร้อนและมีการเคลียร์พื้นที่เป็นที่เรียบร้อย รัฐสภาสหราชอาณาจักรจะกลับมาเป็นเจ้าของอาคารอีกครั้ง และเริ่มเตรียมพื้นที่ภายในอาคารเพื่อใช้งานในอนาคต โดยจะส่งต่อไปยังทีมที่ส่งมอบประสบการณ์แก่ผู้มาเยือน จากนั้นขั้นตอนการเตรียมการนิทรรศการและเส้นทางทัวร์คาดว่าจะแล้วเสร็จในฤดูหนาว และบรรดาผู้มาเยือนน่าจะได้กลับเข้าไปชมหอนาฬิกาแห่งนี้ได้อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
พลาดไม่ได้เลยค่ะ สำหรับคนชอบถ่ายรูป ชอบแนวประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมต่างๆ ความสวยงาม อลังการ เราชวนให้ไปเที่ยวที่ พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace) สักครั้ง ที่นี่เป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดในกรุงโซล สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1394 ในสมัย พระเจ้าแทโจ (Taejo of Joseon) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โชซอน ค่ะ อีกทั้งยังเป็นทั้งสัญลักษณ์ และแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของกรุงโซลอีกด้วย
ด้านในแต่เดิมนั้นเคยมีอาคารและตำหนักต่างๆ กว่า 200 หลังด้วยกัน แต่เมื่อมีการรุกรานของญี่ปุ่น อาคารก็ถูกทำลายลง ทำให้เหลือในปัจจุบันแค่เพียง 10 หลังเท่านั้นค่ะ นอกจากนี้ภายในพระราชวังยังมีพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติและพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเกาหลีให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ ของชาวเกาหลี แถมยังรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลาไปอยู่ในสมัยราชวงศ์โชซอนเลยทีเดียว
ใครที่มีแพลนไปเที่ยวโซล ประเทศเกาหลีใต้ พระราชวังคยองบกกุง (Gyeongbokgung Palace 경복궁) คงเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่จดลงในลิสต์ เพราะที่นี่เป็นถึงพระราชวังที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในกรุงโซล ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ภูเขาบูกักซาน (Bugaksan Mountain) ทางทิศเหนือของกรุงโซล จึงเสริมให้พระราชวังแห่งนี้ดูยิ่งใหญ่ และงดงามเจิดจรัส สมชื่อ พระราชวังคยองบกกุง ที่มีความหมายว่า “พระราชวังแห่งพรอันแสงสว่าง” จริงๆ ค่ะ
จุดเด่นของที่นี่คือ พระที่นั่งคึนจองวอง (Geunjeongjeon) พระที่นั่งหลักที่ใหญ่ที่สุดในเขตพระราชวังคยอบกกุง เป็นที่ประทับของกษัตริย์เพื่อว่าราชการและพบปะกับเหล่าทูตจากเมืองต่างๆ บริเวณด้านหน้าเป็นลานกว้าง ไว้จัดพิธีการสำคัญ ต่อมาคือ ศาลาคยองฮวีรู (Gyeonghoeru Pavilion 경회루) สถานที่จัดงานเลี้ยงและพิธีการสำคัญในสมัยราชวงศ์โชซอน เป็นอาคารสองชั้นที่สร้างด้วยไม้และหิน มีเสาทั้งหมด 48 ต้น ตั้งอยู่กลางน้ำ รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันร่มรื่น โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระสีชมพูอ่อนจะผลิบานสลับกับต้นไม้สีเขียวขจีรอบๆ ศาลา
ศาลาฮยางวอนจอง (Hyangwonjeong Pavilion 향원정) อีกหนึ่งไฮไลท์ของพระราชวังคยองบกกุงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นศาลาที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1873 ในสมัยพระเจ้าโกจอง มีรูปร่างหกเหลี่ยม ตกแต่งด้วยลวดลายเกาหลีแบบดั้งเดิม ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบที่เชื่อมต่อกับ สะพานไม้ชวีฮยางกโย (Chwihyanggyo Bridge) สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในสมัยราชวงศ์โชซอน และเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้เลยค่ะ
นอกจากนี้ก็ยังมี พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ (National Palace Museum of Korea) และ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านเกาหลี (National Folk Museum) ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่สำคัญของเกาหลี รวมถึงการบอกเล่าวิถีชีวิต ค่านิยม ความเป็นอยู่ และศิลปะวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษาและอนุรักษ์สืบต่อไปด้วยค่ะ